มท. สั่งเข้ม ตัดวงจร Demand และ Supply พร้อมนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการบำบัด รักษา ฟื้นฟู โทรสายด่วน 1567 - MSK News

Breaking

Home Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

มท. สั่งเข้ม ตัดวงจร Demand และ Supply พร้อมนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการบำบัด รักษา ฟื้นฟู โทรสายด่วน 1567

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 65 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายความมั่นคงได้บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องของขบวนการค้ายาเสพติดทั้งรายเล็ก รายใหญ่แล้ว จึงขอย้ำเตือนให้กลับตัวกลับใจก่อนที่จะสายเกินไป โดยขณะนี้ในหลายพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงได้ดำเนินการจัดชุดปฏิบัติการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่แหล่งข่าวได้รายงานไว้ ซึ่งได้สั่งการกำชับให้ทุกพื้นที่ตัดวงจรทั้งด้าน Supply side คือ ป้องกันไม่ให้มีการค้าและจำหน่ายยาเสพติด รวมถึงการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาแพร่กระจายในพื้นที่ชั้นใน และด้าน Demand side เจ้าหน้าฝ่ายความมั่นคงได้เพิ่มระดับความเข้มข้นในเเต่ละพื้นที่ เพื่อเร่งปราบปรามและนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ควบคู่กับการบำบัด รักษา ฟื้นฟู เพื่อลดจำนวนผู้เสพรายเดิมไม่ให้กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งในหลายพื้นที่ ได้มีการจัดกิจกรรม รณรงค์ให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และปล่อยเเถวเปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด ตามที่ปรากฎในข่าวในหลายพื้นที่ โดยในวันนี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานผลการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหลายพื้นที่ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้

1. จังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (ผบ.นรข.) พลตำรวจตรี ธวัชชัย ถุงเป้า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม พันเอก สุพรเทพ ไชยยงค์ รอง ผบ.บก.ควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พันตำรวจเอก ญ จิระนัน ธนะสินห์ ผกก.พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.นครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 458,000 เม็ด ภายใต้แผน "ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง" ของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม โดยได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบ จึงได้สั่งการให้ นาวาเอก กษิดิ กลิ่นศรีสุข ผบ.นรข.เขตนครพนม พร้อมด้วย นาวาโท วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้าสถานีเรือนครพนม และนาวาตรี สมเจตน์ ค้าทวี หัวหน้าสถานีเรือบ้านแพง บูรณาการหน่วยงานความมั่นคงตรวจสอบข่าวพร้อมจัดชุดลาดตระเวนลงพื้นที่ กระทั่งเวลาประมาณ 21.30 น. ได้พบว่าเรือต้องสงสัยได้ดับเครื่องยนต์แล้วใช้วิธีพายมือ ล่องเรือมาตามแม่น้ำโขงมุ่งหน้าสู่ฝั่งไทย บริเวณวัดเหล่าสวนกล้วย บ้านเหล่าสวนกล้วย ตำบลหนองเทา อำเภอท่าอุเทน ห่างจากชุดลาดตระเวนทางบกประมาน 200 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปิดระยะเข้าประชิด พบชายฉกรรจ์ 2 คนกำลังช่วยกันแบกกระสอบขึ้นจากเรือมาวางไว้บนฝั่ง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจสอบ เมื่อชายฉกรรจ์เห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้ทิ้งกระสอบ ก่อนจะรีบหนีหายไปในความมืดด้วยความชำนาญ จากนั้นจึงเข้าตรวจสอบโดยละเอียด พบกระสอบ จำนวน 3 กระสอบภายในบรรจุห่อยาบ้า จำนวน 458,000 เม็ด จึงได้ร่วมกันทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทน เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาคนผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

2. จังหวัดลพบุรี เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษ พัทยา กก.1 บก.ปส.2 ร่วมกับ บก.ขส. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา 9 ราย ได้ที่บริเวณถนนสระบุรี-หล่มสัก บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 9 ต.บีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 12 พ.ย.65 จากการสืบสวนหาข่าวเชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูลจากบิ๊กดาต้า ประกอบกับขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติด ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทางภาคอีสาน ลงมายังภาคกลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. ได้จัดชุดเฝ้าติดตามพฤติกรรมเรื่อยมา กระทั่งทราบว่าในวันที่ 12 พ.ย. 65 แก๊งผมทองจะมีการลำเลียงยาเสพติดได้ใช้รถนำรถขนยาเสพติด และรถปิดท้าย ผ่านมาในพื้นที่ จ.ลพบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงสนธิกำลังสกัดกั้นจับรถได้ทั้ง 3 คัน ตรวจค้นรถของกลางพบยาบ้า มีตราสัญลักษณ์ Y 1 และ 999 รวม 2,200,000 เม็ด, ยาหลอนประสาท ERIMIN 5 จำนวน 40,000 เม็ด, โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง และตรวจยึดรถยนต์ของกลาง 3 คัน เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ชนิดร้ายแรง (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามิน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า และการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน” และ “ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (ไฟว์ ไฟว์ หรืออิริมินไฟว์) เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน โดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งจะดำเนินการขยายผลหาผู้กระทำผิดที่ร่วมขบวนการ ต่อไป

3. จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มอบหมายให้ นายมนตรา พรมสินธุ ปลัดจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสันติ บุญรอด นายอำเภอเคียนซา นางสาวศริญดา ปาลคะเชนทร์ ป้องกันจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองอำเภอเคียนซา ชุดจับกุมนำโดยนายอร่าม ญาณแก้ว ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. พร้อมด้วยชุดเฉพาะกิจอำเภอเคียนซา (ฉก.ธารทิพย์) ประกอบด้วย กำนัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิก อส. รวมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.416 นำโดย ร.ต.ท.ณัฐชนน ลอยเลื่อน รอง.สว.(ป.) กก.ตชด.41 สืบสวนจับกุมคดียาเสพติดผู้ต้องหาสำคัญในพื้นที่ 3 คดี จำนวน 4 ราย คือ นายสานนท์ หรือนนท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี และ นายสาธิต หรือปิก (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี นายวิษณุ หรือม่อน (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี และนายอนุรักษ์ หรือหวัง (สวงนนามสกุล) อายุ 35 ปี รวมของกลาง ยาบ้า ทั้งสิ้น 21,778 เม็ด ไอซ์ 0.44 กรัม ปืน 1 กระบอก โดยแจ้งข้อกล่าวหา เสพและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและทำให้แพร่กระจายในชุมชนโดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

4. จังหวัดนครศรีธรรมราช นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พล.ต.ต. สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช พ.อ.ศุภชัย ปรีชามาตร รอง ผอ.รมน.จังหวัดนครศรีธรรมราช นายศรัทธา ทองคำ ปลัดจังหวัดนครศรีธรรมราช นายสุเทพ แก้วประดิษฐ์ นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช พ.อ.นุกูล ดำสุวรรณ หัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติด กองทัพภาคที่ ๔ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ และ พ.ต.อ.นัษฐวุฒิ ทองทิพย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช ร่วมแถลงข่าวการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดและอาวุธสงครามในพื้นที่รายสำคัญ คือ นายพรชัย (สงวนนามสกุล) หรือ ตู่ นาทราย พร้อมของกลางในคดี ได้แก่ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) จำนวน 1,670 เม็ด อาวุธปืน จำนวน 5 กระบอก ประกอบด้วยอาวุธปืนสงคราม อาก้า หรือ AK-47 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ขนาด 7.62 จำนวน 138 นัด อาวุธปืนสงคราม M-16 A1 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ขนาด 5.56 จำนวน 37 นัด อาวุธปืน ยี่ห้อ CMMG ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนลูกซอง ยี่ห้อ คอมมานโด จำนวน 1 กระบอก และอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ขนาด 9 มม. จำนวน 15 นัดพร้อมกันนี้ได้ตรวจยึดทรัพย์สินที่อาจได้รับมาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อตรวจสอบตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2565 ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 2 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน และสิ่งของคล้ายทองคำรูปพรรณ จำนวนหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาคนผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

"กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานความมั่นคงภายใน มีหน้าที่ประการสำคัญ คือ การบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชน หนึ่งในภัยร้ายที่คอยกัดกร่อนสังคมไทยที่เป็นภัยคุกคามเรื้อรัง คือ ปัญหายาเสพติด ซึ่งไม่เพียงเเต่ส่งผลโดยตรงต่อความสงบสุขเรียบร้อยของสังคมโดยรวมแล้ว ยาเสพติดยังส่งผลต่อภาพลักษณ์เเละความน่าเชื่อถือของประเทศอีกด้วย ซึ่งส่งผลทั้งในเเง่ความมั่นคง เศรษฐกิจ และด้านความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีความตั้งใจที่จะ Change for Good เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เเสดงให้นานาประเทศได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า ประเทศไทยแม้ว่าจะมีปัญหายาเสพติดมาอย่างยาวนาน แต่ก็สามารถป้องกันเเละแก้ไขภัยที่เกิดจากยาเสพติดได้ และนอกจากจะป้องกันเเละปราบปรามเเล้วในด้านการบำบัดรักษาฟื้นฟู ยังสะท้อนเเสดงให้เห็นถึงความโอบอ้อมอารีของคนไทย และสังคมที่เปิดกว้างในด้านการให้โอกาส รวมถึงศักยภาพของบุคลากรด้านสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องที่ ที่สามารถเเก้ไขปัญหาผู้ป่วยยาเสพติดให้รู้จักความว่า "โอกาส" ในการกลับตัว กลับใจ กลับไปใช้ชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานความพอเพียงสุจริต และสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม ฉะนั้น หากปฏิบัติการป้องกันเเละเเก้ไขปัญหายาเสพติดทุกหน่วยงานให้ความสำคัญอย่างจริงจังและต่อเนื่องเหมือนที่มีการปฏิบัติอยู่นี้ จะช่วยให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดภัยจากยาเสพติดได้ไม่ยาก ท้ายนี้ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความอนุเคราะห์ในการเเจ้งเบาะเเสมายังศูนย์ดำรงธรรม ทำให้สามารถขยายผลและดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ขอให้เเจ้งเบาะเเสยาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง เเละอย่าได้กลัวว่าข้อมูลจะถูกเปิดเผย เนื่องจากได้กำชับเจ้าหน้าที่เเล้วว่า พี่น้องประชาชน คือ พันธมิตรที่เเท้จริงของหน่วยงานภาครัฐซึ่งจะต้องดำเนินการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลไม่ให้ได้รับภยันตรายจากการร้องเรียนหรือเเจ้งเบาะเเสเป็นอันขาด หากพบการกระทำความผิดขอให้รีบเเจ้งเบาะเเสมาที่ศูนย์ดำรงธรรมที่สายด่วน 1567 ทันที หรือจะเดินทางไปติดต่อที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ หรือจังหวัด หรือที่กระทรวงมหาดไทยก็ได้ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าคอยให้บริการ ทั้งในด้านคำปรึกษา ข้อกฎหมาย และในด้านอื่น ๆ" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้าย

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น