รองโฆษกรัฐบาลชูโมเดล BCG สร้างรายได้หลักล้านสู่ชุมชน ก้าวสู่อุตสาหกรรมฯดันไทยเป็นฮับไบโอพลาสติก - MSK News

Breaking

Home Top Ad

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2565

รองโฆษกรัฐบาลชูโมเดล BCG สร้างรายได้หลักล้านสู่ชุมชน ก้าวสู่อุตสาหกรรมฯดันไทยเป็นฮับไบโอพลาสติก

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศเป้าหมายให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงโดยใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการพลิกโฉมประเทศไทย ทำให้ประชาชนมีรายได้ และเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ต่างเริ่มขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG อย่างเป็นระบบในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา เปรียบเหมือนแม่น้ำร้อยสายที่สุดท้ายจะมาเป็นบรรจบเป็นแม่น้ำใหญ่ที่จะเกิดขึ้นภายใน5-7 ปีข้างหน้า โดยมองว่าโอกาสของสินค้า BCGจะเติบโตขึ้นเป็นอันดับต้นในภูมิภาค เนื่องจากสินค้ารีไซเคิลหลายอย่างเริ่มได้รับการยอมรับและมีการส่งออกไปในต่างประเทศ อีกทั้งต่อไปในนี้ในเขตเศษฐกิจเอเปคได้ข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับเป้าหมายกรุงเทพฯคือโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพราะฉะนั้นสินค้าที่ผลิตโดยรูปแบบBCG จะได้รับการยอมรับ หรือลดเงื่อนไขของการซื้อขายระหว่างประเทศ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ขณะที่ผู้บริหารองค์กรชั้นนำ ทั้ง นายชญาน์ จันทวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความยั่งยืนและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด และนายอุกฤษ อุณหเลขกะ เป็นผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร กิจการเพื่อสังคม Startup ชื่อ Ricult (รีคัลท์) มองไปในทิศทางเดียวกันว่า โมเดล BCG คือ อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ หรือ New S-curve ของประเทศไทย ทั้งนี้นายชญาน์ ยกตัวอย่างบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มจากเอาวัตถุดิบการเกษตร จากน้ำมันปาล์มมาผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพที่ใส่ผสมน้ำมันและไบโอเคมิคอล ที่นำน้ำมันปาล์มไปผลิตสารซักล้าง เช่นสบู่และแชมพูสระผม โดยเชื่อมั่นว่าต่อไปประเทศไทยจะเป็นฮับเรื่องไบโอพลาสติกที่ทั้งผลิตใช้ในประเทศและส่งออกเป็นอันดับต้นๆของโลก

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า อีกทั้งนายชญาน์ ยังมองถึงโอกาสในการแข่งขันด้านสินค้าพลาสติกชีวภาพหรือไบโอพลาสติก ทั้งในแง่ต้นทุนและคุณภาพสินค้า เนื่องจากปัจจุบันไทยใช้พลาสติกจำนวนมากปีหนึ่งประมาณ 2 ล้านตัน รีไซเคิลกลับมาใช้จริงในระบบประมาณ5 แสนตันเท่านั้น ที่เหลือนำไปฝังกลบเสียส่วนใหญ่ซึ่งไม่มีมูลค่าและอาจเกิดการรั่วไหลไปยังสิ่งแวดล้อม ดังนั้นพลาสติกอีก 1.5 ล้านตัน ถ้าสามารถรวบรวมและแยกให้เป็นระบบมากขึ้น เข้าโรงงานรีไซเคิล จะสามารถทำให้รายได้กลับสู่ชุมชน จากการสำรวจปริมาณขยะพลาสติกและพลาสติกใช้แล้วทั่วประเทศ พบว่าทุกภาคมีปริมาณที่เหลือใช้มาก ถ้าสามารถเริ่มได้ทุกหมู่บ้านทั้ง 8 พันกว่าหมู่บ้าน หรือ 1 ตำบลมีสักแห่งหนึ่งการลงทุนในแง่ต้นทุนไม่สูงมาก ทุกคนสามารถทำได้เมื่อทำแล้วขยายผลไปทั่วประเทศ จะรวบรวมพลาสติกที่ใช้แล้วกลับมาเข้าโรงงานแล้วจะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ ได้มากพอสมควร ก็คงหลายหมื่นล้านบาท สร้างรายได้นับล้านบาทให้กับชุมชน โดยมีตัวอย่างที่ทำไปแล้ว 5-6 แห่ง ทุกแห่งรายได้เพิ่มขึ้นทั้งหมด ต่อแห่งเล็กๆ 2 ตำบลขยะพลาสติกต่อปีชุมชนต่อปีประมาณ 50 ตัน รายได้ประมาณ1 ล้านบาท กำไรเข้าชุมชนหลายแสนบาท

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในส่วนของนายอุกฤษ มองถึงการดึงศักยภาพของเกษตรกรไทย ในการปรับการทำเกษตรให้มีรายได้มากขึ้น ผลิตสินค้าเกรดพรีเมียมที่มีคุณภาพสูงมากขึ้น โดยนำนวัตกรรมใหม่ๆและ BigData เข้ามาช่วยยกระดับ เนื่องจากตลาดในยุโรปและสหรัฐอเมริกาต้องการสินคาที่ผ่านกระบวนการที่ไม่ทำลายโลก ประเทศไทยมีโอกาสที่จะผลิตสินค้าตอบโจทย์โลกได้ เพราะมีเกษตรกรจำนวนมากกว่า และเก่ง ถ้ามีโรงงานใหญ่สามารถแรปรูปเป็นไบโอพลาสติก เป็นเอธานอลได้ หรือแปรรูปข้าวมาเป็นวิตามิน หรือเป็นเครื่องสำอางมูลค่าของสินค้าเกษตรไทยจะมากขึ้น ราคารับซื้อจากเกษตรกรไทยก็จะมากตามไปด้วย ซึ่งนักลงทุนเห็นโอกาสของภาคเกษตรในประเทศไทย เงินลงทุนจะเข้ามามากมาย

“จากการขับเคลื่อนโมเดล BCGของภาคส่วนต่างๆและจากมุมมองของผู้บริหารธุรกิจ สะท้อนทิศทางที่สดใสของโมเดล BCGที่จะดึงดูดนักลงทุน ยกระดับธุรกิจในประเทศ เอสเอ็มอีและสตาร์ตอัป รวมทั้งชุมชนต่างๆ เป็น New S-curve ควบคู่ไปกับการสร้างอุตสาหกรรมใหม่อุตหสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยา นวัตกรรมดิจิทัล ที่จะพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยให้มีมูลค่าสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น